ในกรณีของ COVID-19 การระบาดที่มีผู้ติดเชื้อมากมายและกระจายไปยังหลายพื้นที่ทั่วโลกถูกเรียกว่าเป็นการระบาดระดับโลกหรือแพร่ระบาดระดับสากล (Pandemic) โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศสถานการณ์นี้ในวันที่ 11 มีนาคม 2020
การระบาดระดับโลกหมายความว่าโรคนี้ได้รับการระบาดอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีผู้ติดเชื้อในหลายประเทศ โดยมีผู้ป่วยและการระบาดที่มีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ การระบาดระดับสากลนี้ทำให้หลายประเทศต้องดำเนินการป้องกันและควบคุมการระบาดอย่างเต็มที่ รวมถึงการนำมาตรการจำกัดการเคลื่อนไหวและปิดบางส่วนของประชากรเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
COVID-19ได้สร้างความกังวลและผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างมาก การรับมือกับการระบาดของโรคนี้ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องมีการร่วมมือระหว่างประเทศและทุกกลุ่มคนในสังคมเพื่อลดผลกระทบและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
จาก “โรคระบาด” สู่ “โรคประจำถิ่น” การเปลี่ยนจาก “โรคระบาด” (Epidemic) เป็น “โรคประจำถิ่น” (Endemic) คือกระบวนการที่เริ่มขึ้นเมื่อโรคมีการควบคุมและการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสหรือโรคนั้นโดยมีระบบการควบคุมและการรักษาสุขภาพสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปมีสาเหตุหลักสองประการที่นำมาเปลี่ยนสถานการณ์จาก “ระบาด” เป็น “ประจำถิ่น”
- การควบคุมการแพร่กระจาย: การควบคุมการแพร่กระจายของโรคจะต้องมีมาตรการที่เข้มงวด เช่น การล็อกดาวน์ที่จำเป็นเพื่อลดการติดเชื้อและการกระจายต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการระบาด เมื่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเริ่มควบคุมและมีการเฝ้าระวังความเสี่ยงให้มากขึ้น โรคนั้นจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่จะกลายเป็น “ประจำถิ่น” โดยทั่วไปคือการควบคุมการแพร่กระจายของโรคในระดับท้องถิ่นหรือประเทศ
- การฉีดวัคซีนและการรักษา: การพัฒนาวัคซีนและการให้วัคซีนแก่ประชากรมีผลสำคัญในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคและการกลายเป็น “ประจำถิ่น” การมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและการให้วัคซีนให้กับประชากรหลักๆ สามารถลดการระบาดและการเสี่ยงในระยะยาว รวมถึงการดูแลสุขภาพสาธารณะที่มีประสิทธิภาพสามารถรักษาผู้ที่ติดเชื้อโรคและควบคุมการแพร่กระจายของโรคในระยะยาว
โรคที่กลายเป็น “ประจำถิ่น” จะยังคงมีการติดเชื้อและการระบาดในระดับต่ำๆ และการควบคุมที่เหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงและความเสี่ยงในระยะยาว การควบคุมโรคในระดับประเทศและท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้โรคกลายเป็น “ประจำถิ่น” และทำให้สามารถดำเนินชีวิตปกติได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์ที่โรคยังคงมีการแพร่กระจายในระดับต่ำๆ และควบคุมได้ดี
COVID-19 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลายเป็นโรคประจำถิ่นและการแพร่กระจายเชื้อ
การกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) และการแพร่กระจายเชื้อของโรคที่แต่ละประเทศต้องเผชิญนั้นมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อสถานการณ์ เช่น
- ความก้าวหน้าของการควบคุมโรค: การระบาดของโรคจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ รวมถึงการฉีดวัคซีนและมาตรการป้องกันอื่นๆ ที่ทำให้โรคนี้ไม่แพร่กระจายได้ง่าย
- ประชากรภายในและต่างประเทศ: ประชากรในแต่ละประเทศมีผลต่อการแพร่กระจายของโรค การมีคนเดินทางจากพื้นที่ที่มีการระบาดมายังพื้นที่อื่นอาจเป็นตัวถ่ายเชื้อไวรัสไปยังพื้นที่ใหม่
- การปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน: การใช้มาตรการป้องกันเช่น การสวมหน้ากาก, การรักษาระยะห่างทางสังคม, และการล้างมือมีผลในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ
- การปรับตัวของเชื้อไวรัส: เชื้อไวรัสอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้การติดเชื้อและการระบาดมีลักษณะที่แตกต่างกัน
- การวัคซีน: การพัฒนาและใช้วัคซีนสามารถมีผลสำคัญในการควบคุมโรค และการให้วัคซีนแก่ประชากรมีผลต่อการเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อ
- สภาพสังคมและอนาคต: สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการส่งเสริมสุขภาพมีผลต่อการควบคุมโรคและการแพร่กระจายของเชื้อ
การกลายเป็นโรคประจำถิ่นอาจเกิดขึ้นเมื่อมีการควบคุมการแพร่กระจายของโรคอย่างมีประสิทธิภาพและมีการควบคุมวัคซีนเพียงพอ เช่น โรคบาดทะยัก (Polio) ในบางพื้นที่ที่โรคนี้เคยระบาด หรือการติดต่อโรคไข้เลือดออก (Dengue) ที่สามารถกลายเป็นโรคประจำถิ่นในบางพื้นที่ที่มีการระบาดตลอดเวลา อย่างไรก็ดี การรักษามาตรการป้องกันและควบคุมโรคเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคอย่างต่อเนื่องและป้องกันการกลายเป็นโรคประจำถิ่น
โดยได้กำหนด 4 ระยะในการปรับโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่นดังนี้
การปรับโควิด-19 เพื่อให้เป็นโรคประจำถิ่นมักจะเป็นกระบวนการที่ยาวนานและมีขั้นตอนหลายขั้นตอน แต่ไม่มีขั้นตอนที่แน่นอนที่จะถูกกำหนดสำหรับทุกประเทศ เนื่องจากมีการปรับใช้ขั้นตอนต่างกันในทุกๆ ประเทศตามสถานการณ์และความต้องการท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ปรับโควิด-19 เพื่อให้เป็นโรคประจำถิ่นอาจรวมถึงขั้นตอนต่อไปนี้
- ระบาดบนเกาะ: ในระยะแรกของการระบาด ปรับโควิด-19 อาจจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด เช่น การปิดช่องทางการเดินทางเข้าออกของเกาะหรือการจำกัดการเคลื่อนไหวของประชากร
- การควบคุมการแพร่กระจาย: เมื่อมีการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพและมีการควบคุมการระบาดในพื้นที่ การปรับโควิด-19 อาจจะเริ่มให้มีการเปิดบริการสาธารณะที่จำเป็นโดยคำนึงถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับส่วนบุคคลและการเฝ้าระวังความเสี่ยง
- การเปิดเศรษฐกิจและการกลับสู่ปกติ: การปรับโควิด-19 เพื่อให้เป็นโรคประจำถิ่นอาจมีการเปิดเศรษฐกิจและกิจกรรมสาธารณะเพิ่มเติม เพื่อช่วยฟื้นคืนเศรษฐกิจและการดำเนินกิจกรรมปกติของสังคมในระดับสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นขั้นตอนที่ทำให้ความปกติเป็นไปได้อย่างราบรื่น
- การรักษาความสำเร็จและการจัดการโรค: การรักษาความสำเร็จในการปรับโควิด-19 เพื่อให้เป็นโรคประจำถิ่นอาจจะต้องมีการดูแลสุขภาพสาธารณะและความปลอดภัยในระยะยาว รวมถึงการพัฒนาวัคซีนและการรักษาโรค โดยมีการเฝ้าระวังสถานการณ์และการระบาดอย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนในการปรับโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่นอาจแตกต่างไปตามสถานการณ์และการบริหารจัดการของแต่ละประเทศ และสภาพการณ์โรคที่เปลี่ยนแปลงได้ เราควรติดตามและปฏิบัติตามคำแนะนำที่ออกโดยหน่วยงานราชการและสาธารณสุขท้องถิ่นเพื่อรักษาความปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพสาธารณะในระยะยาวสามารถดูข่าวอื่นๆได้ที่ napasechnik.com